ผู้เขียนขอสรุป จรรยาบรรณพลศึกษา ในความคิดเห็นของผู้เขียนดังนี้
- ด้านการมีความรับผิดชอบ การที่นักพลศึกษามีความรับผิดชอบนั้น เขาจะต้องแสดง
พฤติกรรมให้เห็นว่าเขามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำงาน หรือปฏิบัติหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายด้วยความผูกพัน ด้วยความบากบั่นพากเพียรและยอมรับผลในการปฏิบัติหน้าที่นั้นให้สำเร็จตามความมุ่งหมาย และในขณะเดียวกันก็จะพยายามปรับปรุงงานในหน้าที่นั้นให้ดียิ่งขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติหน้าที่ในการสอน
1.1 นักพลศึกษาจะมีใจรักและผูกพันในการสอน เข้าสอนตามเวลาที่กำหนดเอาใจใส่ในการสอน เพื่อให้การสอนได้บรรลุตามความมุ่งหมายโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก
1.2 นักพลศึกษาจะอุทิศกำลังกายและกำลังใจเพื่อให้การสอนได้เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ
1.3 นักพลศึกษาจะปฏิบัติหน้าที่การสอน ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การสอนโดยไม่คำนึงถึงผล ประโยชน์ส่วนตัว
1.4 นักพลศึกษาจะเตรียมการสอน ดำเนินการสอน ปรับปรุงการสอนและแก้ปัญหาการสอนด้วยความสุขุมรอบคอบ เพื่อให้การสอนได้บรรลุผลอย่างแท้จริง
1.5 นักพลศึกษาจะยอมรับผลในการสอนของตนเองด้วยความเต็มใจ แม้ว่าผลการสอนนั้นจะเป็นไปในลักษะใดก็ตาม
ฯลฯ
2. ด้านการมีความใฝ่รู้ เนื่องจากความรู้และความคิดต่าง ๆ ในด้านการพลศึกษาและวิชาการที่เกี่ยวข้องนั้นมักจะมีการเปลี่ยนแปลงและค้นพบอยู่เสมอ ฉะนั้น นักพลศึกษาที่ดีไม่ว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้บริหาร นักวิชาการ ครู อาจารย์ ศึกษานิเทศก์ หรือหน้าที่อื่นใดก็ตาม จะต้องเป็นผู้ที่มีความใฝ่รู้เพื่อนำความรู้ใหม่ ๆ มาปรับปรุงตนเองและการงานในอาชีพของตนให้ได้ผลดี ทันกับเหตุการณ์ในปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา พฤติกรรมที่นักพลศึกษาแสดงออกว่าเป็นผู้ใฝ่รู้นั้นอาจจะสังเกตเห็นได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
2.1 นักพลศึกษาจะศึกษาหาความรู้ในวิชาพลศึกษาหรือที่เกี่ยวข้องด้วยการอ่าน การเขียน และการฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นประจำ
2.2 นักพลศึกษาจะหาข้อมูล วิเคราะห์ วิจารณ์ และหาข้อสรุปเกี่ยวกับข่าวสาร หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อนำมาปรับปรุงและเสนอแนะให้การทำงานได้ผลดียิ่งขึ้น
2.3 นักพลศึกษาจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการอ่านหนังสือหรือศึกษาค้นคว้าเป็นประจำ
2.4 นักพลศึกษาจะรับฟังการอภิปราย การบรรยาย หรือการชี้แจงเกี่ยวกับความรู้และความคิดใหม่ ๆ ด้วยความจดจ่อควบคู่ไปกับการพินิจพิจารณาในสิ่งที่ได้ยินหรือฟังมานั้น
2.5 นักพลศึกษาจะใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ คือการกำหนดปัญญา การแสวงหาความรู้ หรือสัจจธรรมทางพลศึกษา ฯลฯ
3. การมีความขยันหมั่นเพียร การที่นักพลศึกษามีจริยธรรมในด้านความขยันหมั่นเพียรนั้น คือ เขาจะแสดงพฤติกรรมให้เห็นว่า เขามีความกระตือรือร้น พอใจ จดจ่อและพากเพียรในการที่จะทำงานอย่างหนึ่งอย่างใดให้สำเร็จลุล่วงและได้ผลดี ในกรณีที่เป็นผู้สอนวิชาพลศึกษา เขาจะแสดงพฤติกรรมที่พอจะนำมาเป็นตัวอย่างได้ดังนี้คือ
3.1 นักพลศึกษาจะเตรียมตัวและเตรียมบทเรียนให้พร้อมที่จะเข้าสอนได้ตามเวลาที่กำหนด
3.2 นักพลศึกษาจะจัดสถานที่และอุปกรณ์ในการสอนให้พร้อมและเพียงพอ
3.3 นักพลศึกษาช่วยเหลือนักเรียน เอาใจใส่ต่อนักเรียนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
3.4 นักพลศึกษาจะมีความกระตือรือร้น และรักที่จะสอนและช่วยเหลือนักเรียนทั้งในและนอกเวลา
3.5 นักพลศึกษาจะประเมินผลการสอนของตนเอง และการเรียนของนักเรียนเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขเป็นระยะ ฯลฯ
4. ด้านการมีความเมตตากรุณา ความเมตตากรุณาถือเป็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งอันหนึ่งที่จะทำให้นักพลศึกษาเป็นผู้ที่น่ารัก น่าเคารพนับถือ และน่าเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น พฤติกรรมที่จะแสดงให้เห็นว่านักพลศึกษาเป็นผู้ที่มีความเมตตากรุณานั้น คือการที่เขาแสดงพฤติกรรมในความรักใคร่ ต้องการให้เพื่อนเป็นสุข และมีความสงสารอยากจะให้เพื่อนพ้นทุกข์ จะดูจาก
ตัวอย่างการแสดงออกดังนี้คือ
4.1 นักพลศึกษาจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานเป็นประจำและสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องขอร้องหรือหวังผลตอบแทนอย่างหนึ่งอย่างใด
4.2 นักพลศึกษาจะมีโอภาปราศรัย พูดจาไพเราะ สุภาพ อ่อนน้อม กับเพื่อนร่วมงานหรือบุคคลอื่น ๆ ทุกคน
4.3 นักพลศึกษาจะแสดงความยินดีในความสำเร็จ หรือในความสุขของเพื่อนร่วมงาน หรือบุคคลอื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ
4.4 นักพลศึกษาจะเสียสละและแบ่งปันสิ่งของของตนให้แก่เพื่อน หรือผู้ที่มีความจำเป็น หรือขาดแคลนกว่าตามควรแก่กรณี ฯลฯ
5. การมีสติสัมปชัญญะหรือการรู้จักยับยั้งชั่งใจ เป็นจริยธรรมที่นักพลศึกษาแสดงให้เห็นว่าตนเองเป็นผู้ที่มีความพร้อม มีความตื่นตัวอย่างฉับไวในการที่จะบังคับจิตใจของตนเองให้มีการ ตัดสินใจจากการรับรู้ต่าง ๆ ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควร พฤติกรรมที่จะช่วยให้เห็นว่านักพลศึกษามีสติสัมปชัญญะนั้น อาจจะสังเกตได้จากพฤติกรรมที่เป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้คือ
5.1 นักพลศึกษาจะสำนึกในคุณและโทษ หรือในข้อดีและข้อเสียของการแสดงออกของตนเองตลอดเวลา
5.2 นักพลศึกษาจะพิจารณาใตร่ตรองคิดถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นก่อนที่จะดำเนินการใด ๆ
5.3 เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ จะเป็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่หรือปัญหาส่วนตัว นักพลศึกษาจะควบคุมอารมณ์หรือความคิดตนเอง เพื่อพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหานั้น ๆ ตามลำดับขั้นตอนด้วยความสุขุมรอบคอบ
5.4 นักพลศึกษาจะยึดมั่นในอุดมคติของความดีงามและความถูกต้องเป็นปรัชญา
ประจำตัว
5.5 นักพลศึกษาจะไม่ปล่อยกายและใจเป็นทาสของสิ่งมัวเมาหรือสินจ้างรางวัลอื่นใด
6. การมีความเสียสละ การที่นักพลศึกษาเป็นผู้มีความเสียสละนั้น เขาจะแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้รู้จักให้ปันแก่เพื่อนคนอื่นที่ควรให้ ซึ่งอาจจะเป็นด้านกำลัง กำลังทรัพย์ สิ่งของ กำลังสติปัญญาโดยไม่เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว นักพลศึกษาที่มีจริยธรรมทางด้านการเสียสละนั้น อาจจะสังเกตได้จากพฤติกรรมตัวอย่างเช่น
6.1 นักพลศึกษาจะช่วยเหลือเพื่อนครูด้วยกันด้วยความเต็มใจ โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากของตนเอง
6.2 นักพลศึกษาจะแนะนำและทำอุปกรณ์การสอนให้เพื่อนครูด้วยความเต็มใจ
6.3 นักพลศึกษาจะหาทางแก้ไขปัญหาการสอนของเพื่อนที่กำลังประสบอยู่ เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
6.4 นักพลศึกษาจะบริจาคเงินรายได้ของตนเองเพื่อเป็นทุนในการสนับสนุนการเรียนของนักเรียน
6.5 นักพลศึกษาจะมีความยินดีกับเพื่อนครู เมื่อสามารถสอนนักเรียนได้รับผลดีเป็นที่
ชมเชยของผู้บริหาร ฯลฯ
7. การมีระเบียบวินัย การที่นักพลศึกษาเป็นผู้มีระเบียบวินัยนั้นเขาจะทำตัวให้เห็นว่าเขาสามารถที่จะควบคุมตนเอง ให้มีความประพฤติและปฏิบัติในขอบข่ายของสิ่งที่ดีงามของกิริยามารยาท กฎข้อบังคับ กฎหมายและศีลธรรมจรรยา ตัวอย่างของพฤติกรรมของนักพลศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้มีระเบียบวินัยคือ
7.1 นักพลศึกษาปฏิบัติตนและทำตนตามอุดมคติของการพลศึกษา เช่น ออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพของตนเองเป็นประจำวันทุกวัน
7.2 นักพลศึกษาแต่งกายสะอาดเรียบร้อยเป็นตัวอย่างแก่นักเรียนและบุคคลอื่น
7.3 นักพลศึกษาจะส่งนักเรียนเข้าแข่งขันกีฬาตามคุณสมบัติของนักกีฬาที่กติกาได้วางไว้
7.4 นักพลศึกษาจะเป็นตัวอย่างเพื่อให้นักเรียนได้ปฏิบัติตามระเบียบของโรงเรียน
7.5 นักพลศึกษาจะเป็นตัวอย่างเพื่อให้นักเรียนได้เล่นและดูกีฬาตามอุดมคติของการกีฬา ฯลฯ
8. การมีหิริโอตัปปะ จริยธรรมในด้านนี้คือ การที่นักพลศึกษามีความเกรงกลัว มีความละอาย และละเว้นต่อการกระทำความชั่วหรือการกระทำบาปทั้งในทางกาย ใจ และวาจา ไม่ว่าจะมีใครรู้ใครพบเห็นหรือไม่ก็ตาม โดยจะพยายามควบคุมทั้งกาย วาจาและใจ ให้อยู่ในทำนองคลองธรรมที่ดีงาม ตัวอย่างของพฤติกรรมของนักพลศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ที่มีหิริโอตตัปปะคือ
8.1 นักพลศึกษาไม่แอบอ้างหรือเอาผลงานทางวิชาการหรืออื่นใดของผู้อื่น มาเป็นผลงานของตนและเพื่อประโยชน์ของตน
8.2 นักพลศึกษาไม่แอบอ้างว่ามีความรู้ความสามารถในสิ่งที่ตนเองไม่ได้รู้หรือไม่ได้เรียนมาจริง
8.3 นักพลศึกษาไม่แอบอ้างหรือทำในสิ่งที่ตนเองไม่รู้หรือไม่ได้เรียนมา
8.4 นักพลศึกษาไม่แอบอ้างวิชาชีพพลศึกษาเพื่อประโยชน์ส่วนตนในทางมิชอบ
8.5 นักพลศึกษาไม่แอบอ้างว่าตนเองเป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬาในเมื่อตนเองไม่ได้ปฏิบัติตามกฎและระเบียบข้อบังคับของการกีฬา
8.6 นักพลศึกษาจะไม่แอบอ้างว่าตนเองรักและมีศรัทธาในวิชาชีพพลศึกษา และจะปรับปรุงการพลศึกษาให้ดีในเมื่อตนเองไม่สนใจที่จะศึกษาหาความรู้ หรือศึกษาต่อในทางพลศึกษา ฯลฯ
9. การมีความสามัคคี การที่นักพลศึกษามีจริยธรรมทางด้านความสามัคคีนั้น เขาจะกระทำตนให้เห็นว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่จะให้ความร่วมมือและมีความพร้อมเพรียงกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับบุคคลอื่น ๆ โดยเห็นประโยชน์ส่วนรวมสำคัญมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว เพื่อให้งานที่มีอยู่ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ตัวอย่างพฤติกรรมที่นักพลศึกษาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ที่มีความสามัคคีนั้นคือ
9.1 นักพลศึกษาจะช่วยงานของโรงเรียนโดยส่วนรวมด้วยความเต็มใจและไม่มีการขอร้อง
9.2 นักพลศึกษาจะมีความเข้าใจในเพื่อนร่วมงานทุกคนไม่แบ่งแยกพวกเขา
9.3 นักพลศึกษาจะมีความรักความเอ็นดู ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในทางที่ไม่ผิดศีลธรรม
9.4 นักพลศึกษาจะร่วมมือกัน ประสานงานกัน ทำงานร่วมกันตามกำลังความสามารถ
9.5 นักพลศึกษาจะพยายามศึกษาและปรับตนเองให้เข้ากับผู้อื่น ฯลฯ
10. การรู้จักประหยัด การที่นักพลศึกษามีจริยธรรมในด้านการรู้จักประหยัดนั้น เขาจะกระทำตนให้เห็นว่าเขาสามารถจับจ่ายสิ่งของให้พอเหมาะพอควรตามที่เป็นจริงที่มีอยู่ โดยจะระมัดระวังควบคุมและยับยั้งความต้องการให้อยู่ในขอบเขตหรือความสามารถของตนเอง ตัวอย่างพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่านักพลศึกษารู้จักประหยัดนั้นคือ
10.1 นักพลศึกษาจะจับจ่ายใช้สอยเงินทองเฉพาะที่จำเป็น และให้ได้สัดส่วนกับกำลังความสามารถและรายได้ของตน
10.2 นักพลศึกษาจะระมัดระวังและควบคุมความต้องการให้เหมาะสม และพอควรกับอัตภาพของตน
10.3 นักพลศึกษาจะจัดแบ่งเวลาให้ได้สัดส่วนกับกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ
10.4 นักพลศึกษาจะบูรณะสถานที่และอุปกรณ์พลศึกษาที่มีอยู่เพื่อให้สามารถใช้ได้ และเป็นประโยชน์แก่นักเรียนให้นานที่สุดที่จะนานได้
10.5 นักพลศึกษาจะมีบัญชีควบคุมการใช้จ่ายเงินงบประมาณของโรงเรียนให้เป็นประโยชน์แก่นักเรียนให้มากที่สุด ฯลฯ
11. การมีความยุติธรรม การที่นักพลศึกษามีความยุติธรรมนั้นคือ การที่เขาได้ปฏิบัติหน้าที่ของเขาด้วยความเที่ยงตรง สอดคล้องกับความจริงและเหตุผลโดยไม่ลำเอียง เพราะความรักใคร่ ความเกลียด ความกลัวและความหลง ตัวอย่างพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่านักพลศึกษามีความ
ยุติธรรม เช่น
11.1 นักพลศึกษาจัดสถานที่ให้แก่นักเรียนได้เล่นอย่างทั่วถึงกันโดยไม่ลำเอียง
11.2 นักพลศึกษาจัดอุปกรณ์ให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมพลศึกษาอย่างทั่วถึงกันโดยไม่ลำเอียง
11.3 นักพลศึกษาจัดให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาตามระดับความสามารถ
11.4 นักพลศึกษาจัดให้นักเรียนได้รับความช่วยเหลือในด้านการเรียนการสอนจากครูอย่างทั่วถึงกัน
11.5 นักพลศึกษาให้คะแนนนักเรียนตามระดับความสามารถของนักเรียนตามที่เป็นจริง
12. การมีความอุตสาหะ การที่นักพลศึกษามีจริยธรรมในด้านความอุตสาหะนี้นั้น เขาจะแสดงตนให้เห็นว่าเขามีจิตใจหมายมั่น เข้มแข็งในการที่จะทำงานในหน้าที่ของเขาให้สำเร็จลุล่วง
เช่น
12.1 นักพลศึกษาได้พยายามสอนนักเรียนที่มีความประพฤติไม่ดีวันแล้ววันเล่า จนนักเรียนคนนั้นมีความประพฤติดี เป็นที่รักของครูและเพื่อนนักเรียนได้
12.2 นักพลศึกษาได้พยายามสอนนักเรียนที่ไม่มีน้ำใจนักกีฬาวันแล้ววันเล่า จนกลายเป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬาและเล่นกีฬาเป็นที่รักของเพื่อนทุกคน
12.3 นักพลศึกษาได้พร่ำสอนนักเรียนที่เล่นกีฬาไม่เป็นจนกระทั่งเล่นกีฬาเป็น สามารถนำกีฬาไปเล่นในเวลาว่างด้วยความสนุกสนาน
12.4 นักพลศึกษาพร่ำสอนและตักเตือนเพื่อนนักพลศึกษาด้วยกันวันแล้ววันเล่า เพื่อให้กลับตัวเป็นนักพลศึกษาที่ดี และเป็นที่รักของเพื่อนครูและนักเรียนโดยทั่วไป
12.5 นักพลศึกษาได้พยายามใช้เวลาหลังโรงเรียนเลิกเพื่อเรียนต่อ เพื่อให้สำเร็จปริญญาโท สาขาพลศึกษา ภายในกำหนด 3 ปี ตามที่ได้คาดไว้ ฯลฯ
13. การรู้จักมีเหตุและผล การที่นักพลศึกษาจะมีจริยธรรมในด้านการมีเหตุและผลนั้น คือ การที่เขาสามารถแสดงตนให้เห็นว่า เขาจะใช้ปัญญา ความคิด พิจารณาไตร่ตรองพิสูจน์ให้ประจักษ์ในเหตุและผลในการประพฤติตนหรือการปฏิบัติงานต่าง ๆ ไม่ปล่อยให้ความหลงงมงาย ความเขลา ความเกลียด ความกลัว หรือความอวิชชาทั้งหลายทั้งปวงครอบงำหรือพาให้หลงผิด ตัวอย่างพฤติกรรมของนักพลศึกษาที่แสดงให้เห็นว่ามีจริยธรรมในด้านนี้ เช่น
13.1 นักพลศึกษาหาความรู้หรือศึกษาต่อเพิ่มเติมในสาขาพลศึกษา เพราะว่าตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบทางด้านพลศึกษา
13.2 นักพลศึกษาจะทำหน้าที่ปรับปรุงการเรียนการสอนหรือหลักสูตรวิชาพลศึกษา เพาะว่าตนเองมีความรู้และเคยได้ศึกษาวิชาหลักสูตรและการสอนพลศึกษามาแล้ว
13.3 นักพลศึกษาจะทำหน้าที่บริหารพลศึกษา เพราะว่าตนเองได้ผ่านการเรียนทางด้านการบริหารพลศึกษา และมีประสบการณ์ในด้านนี้มาแล้ว
13.4 นักพลศึกษามีจะเลือกสอนในด้านใด เพราะว่าตนเองเคยได้ศึกษา และมีประสบการณ์ในวิชานั้นเป็นอย่างดีมาแล้ว
13.5 นักพลศึกษาที่สอนนิสิตหรือนักศึกษาในระดับใด เพราะว่าตนเองได้รับการฝึกฝนและเตรียมมาเพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการสอนในระดับนั้นเป็นอย่างดีแล้ว
13.6 นักพลศึกษาที่จะทำหน้าที่แนะนำ ช่วยเหลือหรือนิเทศทางด้านพลศึกษา เพราะว่ามีความรู้ทางพลศึกษาเป็นอย่างดีควบคู่กันกับหลักการนิเทศทางพลศึกษาด้วยแล้ว ฯลฯ
14. ความกตัญญูกตเวที การที่นักพลศึกษามีจริยธรรมในด้านกตัญญูกตเวทีนั้น เขาจะต้องแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นผู้มีความรู้สึกสำนึกในการอุปการะคุณหรือบุญคุณที่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นมีต่อเขา แล้วเขาก็แสดงออกด้วยการตอบแทนบุญคุณนั้น ตัวอย่างพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่า
นักพลศึกษาคนนั้นเป็นผู้มีจริยธรรมในด้านนี้ เช่น
14.1 นักพลศึกษาจะรู้สึกและสำนึกในบุญคุณของวิชาชีพพลศึกษา
14.2 นักพลศึกษาจะพยายามตอบแทนบุญคุณของวิชาชีพพลศึกษา
14.3 นักพลศึกษาจะพยายามทำตนให้เป็นประโยชน์แก่วิชาพลศึกษาให้มากที่สุด
เท่าที่จะทำได้
14.4 นักพลศึกษาจะพยายามเชิดหน้าชูตาวิชาชีพพลศึกษาให้มีความเจริญก้าวหน้าให้มากที่สุด
14.5 นักพลศึกษาจะไม่ลบหลู่ดูหมิ่นวิชาชีพพลศึกษา
14.6 นักพลศึกษาที่มีอาชีพหรือความรับผิดชอบทางพลศึกษาจะศึกษาหาความรู้หรือศึกษาต่อในทางพลศึกษา
14.7 นักพลศึกษาจะสำนึกและระลึกถึงบุญคุณผู้ที่เคยได้ทำประโยชน์แก่วิชาชีพ
พลศึกษา
14.8 นักพลศึกษาจะพยายามหาทางตอบแทนบุญคุณผู้ที่เคยทำประโยชน์แก่วิชาชีพ พลศึกษา
เมื่อสรุปได้ส่วนรวมแล้วจะเห็นได้ว่า ถ้าหากว่านักพลศึกษาเป็นผู้ที่มีจรรยาบรรณอย่างน้อยที่สุดในด้านต่าง ๆ 14 ด้าน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ นอกจากว่าจะช่วยนักพลศึกษาจะเป็นผู้มีความงามทั้งกาย วาจาและใจ เป็นที่น่ารัก น่านับถือเลื่อมใสในบุคคลทั่วไปที่ได้พบเห็นและรู้จักแล้ว ยังจะช่วยให้การปฏิบัติงานในวิชาชีพพลศึกษาได้ผลดียิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์แก่สังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย
ความหมายของจรรยาบรรณ
“จรรยาบรรณ” (Code of Protessional Ethics) คือประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกำหนดขึ้นเพื่อรักษาส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียง และฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. 2525 : 213)
จรรยาบรรณ คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานพฤติกรรมของบุคคลในแต่ละอาชีพ ซึ่งเขามีความผูกพันอยู่ เพื่อนร่วมงาน นายจ้าง บุคคลอื่นในชุมชนและสังคมโดยรวม นอกจากนั้น
จรรยาบรรณยังรวมถึงมาตรฐานพฤติกรรมด้านศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของแต่ละบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับสถานภาพ (Status) และยึดแบบอย่างเพื่อประกอบอาชีพของบุคคล (พระเมธี ธรรมมาภรณ์ (ประยูรมีฤกษ์. 2537 : 30)
จรรยาบรรณ คือประมวลความประพฤติเพื่อรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและส่งเสริมชื่อเสียงเกียรติคุณ เกียรติฐานะ อันจะยังผลให้ผู้ประพฤติเป็นที่เลื่อมใส ศรัทธาและยกย่องของบุคคลทั่วไป (สำนักงาน ก.พ., 2537 : 1)
จรรยา เป็นเรื่องของอารยชนที่เจริญในคุณธรรมและมีสติปัญญาพิจารณาตระหนักในความศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้ของกฎธรรมชาติ อันเป็นสิทธิพื้นฐานของชีวิต เกิดมโนธรรม รับผิดชอบต่อหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพในสิทธิพื้นฐานนั้น หรือกล่าวได้ว่า จรรยาเป็นเรื่องของความสำนึกในธรรมสาระที่มนุษย์พึงมีต่อกัน และมิได้หมายถึงการปรับตัวต่อกัน เพียงเพื่อความอยู่รอดและการสืบพันธุ์ อันเป็นธรรมชาติพื้นฐานของสัตว์ทั่ว ๆ ไป
จรรยา เป็นเรื่องของการใช้เหตุผลวิเคราะห์ปัญหาทางปรัชญา (Philosophical Problems) เพื่อวินิจฉัยได้อย่างเที่ยงธรรมว่า การกระทำต่อกันของมนุษย์ ความมุ่งหมาย เจตคติ หรือสภาวะการณ์สังคมต่าง ๆ มีความถูกต้องดีอย่างไรหรือไม่ จรรยาเป็นปรัชญาทางธรรม
ดังนั้น จรรยาบรรณพลศึกษาจึงหมายถึง ประมวลความประพฤติเพื่อรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรี และส่งเสริมชื่อเสียงเกียรติคุณ เกียรติฐานของพลศึกษา อันจะยังผลให้ผู้ประพฤติเป็นที่เลื่อมใส ศรัทธา และยกย่องของบุคคลทั่วไป
จรรยาบรรณพลศึกษา กำหนดขึ้นไว้เพื่อเหตุผลดังต่อไปนี้
- ให้นักพลศึกษาประกอบอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ
- ให้นักพลศึกษามีความดีงาม มีจริยธรรมที่ดี
- ให้นักพลศึกษามีเกียรติและศักดิ์ศรี
ความสำคัญของจรรยาบรรณพลศึกษา
จรรยาบรรณวิชาชีพในทุกสาขาอาชีพ มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นแนวทางกำหนดความประพฤติเพื่อรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรี และส่งเสริมชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ประกอบวิชาชีพให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทและยกย่องแก่บุคคลทั่วไป ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ควรมีหลักการหรือแนวทางปฏิบัติในรูปของจรรยาบรรณ เพื่อเป็นเครื่องชี้นำหรือใช้ประกอบในการประพฤติปฏิบัติตนไปสู่ความสำเร็จแห่งอาชีพนั้น ๆ ความสำคัญของจรรยาบรรณมีดังต่อไปนี้คือ (ชำเลือง วุฒิจันทร์. 2524 : 131)
ความสำคัญของจรรยาบรรณ
กรมศาสนา (2522 : 86 – 96) ได้ให้ความสำคัญของจรรยาบรรณว่าดังนี้
1. จรรยาบรรณช่วยควบคุมมาตรฐาน รับประกันคุณภาพและปริมาณที่ถูกต้องในการประกอบอาชีพในกาาผลิตและการค้า
- จรรยาบรรณช่วยควบคุมจริยธรรมของผู้ประกอบอาชีพและผู้ผลิต
- จรรยาบรรณช่วยส่งเสริมมาตรฐานคุณธรรมและปริมาณที่ดี มีคุณค่าและเผยแพร่ให้
รู้จักเป็นที่นิยมเชื่อถือ
- จรรยาบรรณช่วยส่งเสริมจริยธรรมของผู้ประกอบอาชีพและผู้ผลิต
- จรรยาบรรณช่วยลดปัญหาอาชญากรรม ลดปัญหาการคดโกง ฉ้อฉล เอารัดเอา
เอาเปรียบ ลดการปลอดปนเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ได้ ตลอดจนความมักได้ มักง่าย ความใจแคบ ไม่ยอมเสียสละ ฯลฯ
- จรรยาบรรณช่วยเน้นให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นในภาพพจน์ที่ดีของผู้มีคุณธรรม
- จรรยาบรรณช่วยทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิตามกฎหมาย สำหรับผู้ประกอบอาชีพให้เป็นไป
ถูกต้องตามทำนองครองธรรม
การสร้างจรรยาบรรณครู
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2531 : 10 – 14) มีขั้นตอนในการดำเนินงาน 3 ขั้นตอน คือ
1. การกำหนดจรรยาบรรณ อันได้แก่ การกำหนดจรรยาบรรณมีอะไรบ้าง ซึ่งดำเนินการโดยการประชุมสมาชิกครู หรือประชุมผู้แทนของสมาชิกครูในกรณีที่มีสมาชิกจำนวนมาก หรือไม่สะดวกที่จะประชุมกันทั้งหมด
2. การสร้างการยอมรับในจรรยาบรรณ อันได้แก่ให้สมาชิกทุกคนได้ยอมรับในจรรยาบรรณเพื่อเป็นแบบแผนที่จะต้องยึดถือ ปฏิบัติ การสร้างการยอมรับในจรรยาบรรณอาจทำได้โดยประชุมชี้แจงให้ทราบ การออกเป็นระเบียบ คำสั่ง และการกล่าวคำปฏิญาณ ซึ่งหากจะให้ได้ผลดีแล้วควรจะกระทำทั้งใน 3 ทักษะ นั่นก็คือ ออกเป็นระเบียบหรือคำสั่ง การแจ้งให้ทราบทั่วกันและการให้สมาชิกกล่าวคำปฏิญาณ
3. การส่งเสริมจรรยาบรรณ อันได้แก่ การที่กลุ่มวิชาชีพ (หรือชมรม) หรือหน่วยงานจัดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ ในลักษณะที่ส่งเสริมให้สมาชิกปฏิบัติตามจรรยาบรรณ เช่น การควบคุมดูแลและการประเมินจรรยาบรรณ การกำหนดให้รักษาจรรยาบรรณเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการประเมินผลการปฏิบัติงาน
สำหรับจรรยาบรรณของนักพลศึกษานั้น วรศักดิ์ เพียรชอบ (อ้างใน คณะศึกษาศาสตร์, 2534) ได้เสนอหลักการประพฤติและปฏิบัติตนในสิ่งที่ดีงาม หรือในสิ่งที่สังคมยอมรับทั้งกาย วาจาและใจ ไว้ 13 ประการ ดังนี้
- การมีความรับผิดชอบ
- การมีความใฝ่รู้
- การมีความขยันหมั่นเพียร
- การมีความเมตตากรุณา
- การมีสติสัมปชัญญะ หรือการรู้จักยับยั้งชั่งใจ
- การมีความเสียสละ
- การมีระเบียบวินัย
- การมีหิริโอตัปปะ หรือการมีความเกรงกลัว หรือละอายต่อบาป หรือการกระทำชั่ว
- การมีความสามัคคี
- การรู้จักประหยัด
- การมีความอุตสาหะ
- การรู้จักเหตุและผล
- การมีความกตัญญูกตเวที
นอกจากจะมีจริยธรรมนักพลศึกษา ให้นักพลศึกษาได้ยึดปฏิบัติแล้ว ก็ยังมีจรรยาบรรณ
พลศึกษา ซึ่ง ปรีชา กลิ่นรัตน์ (ปรีชา กลิ่นรัตน์. 2526 : ) ได้รวบรวมไว้เพื่อเป็น จรรยาครูพลศึกษา เสมือนเป็นกรอบของวิชาชีพดังนี้
1. ครูพลศึกษาจะต้องยอมรับและปฏิบัติตามจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีครู
2. ครูพลศึกษาจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะจัดโครงการ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมของนักเรียน
3. เด็กนักเรียนทุกคนมีสิทธิ์อย่างเท่าเทียมกันที่ได้รับการสอนและประสบการณ์จาก
ครูพลศึกษา
- ไม่เอาเรื่องส่วนตัวของครูคนอื่น บุคลากรในโรงเรียนหรือนักเรียนมาเปิดเผย
- อย่าให้ความเป็นกันเองของครูพลศึกษาที่มีต่อนักเรียน มาเป็นอุปสรรคต่อการสอนและ
และการปรกครอง
- ครูพลศึกษาต้องเป็นตัวอย่างที่ดีกับนักเรียน
- เพื่อให้การสอนมีประสิทธิภาพสูงสุด ครูพลศึกษาควรมีความสัมพันธ์กับครูอื่น ๆ มี
ความนับถือและเข้าใจซึ่งกันและกัน
- ครูพลศึกษาต้องเสียสละ อดทน และร่วมกับโรงเรียนในทุกด้านอย่างไม่เห็นแก่
เหน็ดเหนื่อย เพื่อความสำเร็จทางการศึกษา
9. ครูพลศึกษาต้องมีเทคนิควิธีการทำงานและจัดการเรียนการสอนพลศึกษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรกระทำการใดเป็นการข้ามหน้าข้ามตาผู้อื่น เพื่อผลประโยชน์ในการทำงานและการสอนตนเอง
10. ครูพลศึกษาต้องมีหน้าที่ศึกษาหาความรู้ใส่ตัวอยู่เสมอ เพื่อปรับปรุงตนและพัฒนาวิชาชีพ ให้ดียิ่งขึ้น
11. มุ่งทำหน้าที่ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน
12. ครูพลศึกษาต้องไม่ไปทำผลประโยชน์ให้ตนเกี่ยวกับการค้าขาย วัสดุอุปกรณ์ทาง
พลศึกษา และอื่น ๆ
- เป็นหน้าที่ของครูพลศึกษาที่จะต้องมีส่วนร่วมและรับใช้ชุมชนและสังคม โดยเฉพาะ
กิจกรรมที่ทำให้ชุมชนและสังคมน่าอยู่มากขึ้น
- ครูพลศึกษาต้องเป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพและร่วมกันทำให้วิชาชีพก้าวหน้า
- สถาบันที่ผลิตครูพลศึกษา มีหน้าที่ร่วมรับผิดชอบทำให้จรรยาบรรณวิชาชีพสูงขึ้น
- ครูพลศึกษาต้องพยายามชักชวนและส่งเสริมเยาวชนทั้งชายและหญิง ให้เรียนรู้ฝึกฝน
ร่างกายให้เข้มแข็งสมบูรณ์ และมีความมั่นใจ เพื่อเข้าสู่วิชาชีพและจรรยาวิชาชีพสืบไป